จากความเดิมตอนที่แล้ว สรุปหนังสือ The Lean Startup ตอนที่ 1 ตลอดทั้งบทความพยายามชี้ให้เห็นว่า
- สตาร์ทอัพสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเพื่อทดลองและเรียนรู้หาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน
- ความก้าวหน้าของสตาร์ทอัพวัดกันที่การเรียนรู้
- การเรียนรู้ดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งกว่าเงินทอง รางวัล และชื่อเสียง เพราะมันจะมีอิทธิพลต่อแนวคิดในการทำธุรกิจในภายภาคหน้า
- การทุ่มเท ทดลองแล้ว ทดลองเล่า จะช่วยขจัดความสูญเปล่าได้อย่างมาก
ในบทความนี้ เราจะมาสรุปหนังสือ The Lean Startup ตอนที่ 2 โดยเน้นเรื่องการวัดผลและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ
การทดสอบแบบคู่ขนานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์
สตาร์ทอัพจะต้องแยก 2 สิ่งให้ออกระหว่าง คุณค่ากับสูญเปล่า
หลังจากออกไปเจอหน้าลูกค้าตัวเป็นๆ คุณต้องนำความคิดเห็นของลูกค้ามาพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และหาให้เจอว่าคุณสมบัติหรือฟีเจอร์ไหนมีคุณค่าและจำเป็นสำหรับลูกค้าจริงๆ
ฟีเจอร์ที่ช่วยดึงดูดลูกค้าหรือช่วยให้คุณมีรายได้เพิ่มขึ้น คือฟีเจอร์ที่มีคุณค่า
ฟีเจอร์ที่ไม่มีคุณค่าจะส่งผลตรงกับข้าม (บ่อยครั้ง ฟีเจอร์คุณคิดเองว่าเป็นโคตรเยี่ยม อาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในสายตาลูกค้า)
วิธีที่คนฉลาดใช้แยกคุณค่าและสูญเปล่าคือ ทดสอบแบบคู่ขนาน (Split Testing)
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณอยากเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนฟีเจอร์ที่มีอยู่ ให้สร้างผลิตภัณฑ์ออกมา 2 แบบ ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่มีฟีเจอร์ใหม่
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฟีเจอร์นั้น
แล้วนำผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 แบบออกไปทดสอบกับลูกค้า และจับตาดูว่าผลิตภัณฑ์แบบไหนดึงดูดลูกค้ามากกว่า
บริษัทยุคแรกๆ ที่นำการทดสอบแบบคู่ขนานไปใช้คือ “บริษัทที่ขายสินค้าผ่านนิตยสารแคตตาล็อก”
ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัท A อยากรู้ว่า การจัดวาง Layout แคตตาล็อกแบบใหม่จะมีผลต่อยอดขายสินค้าหรือไม่ บริษัทก็ตีพิมพ์แคตตาล็อกออกมา 2 แบบ โดยลูกค้าครึ่งนึงจะได้แคตตาล็อกแบบเก่า ส่วนอีกครึ่งได้แบบใหม่ จากนั้นก็เปรียบเทียบจำนวนคำสั่งซื้อที่ได้รับจากแต่ละกลุ่ม
เราจะเห็นการทดสอบแบบคู่ขนานบ่อยมากในบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง

เมื่อรู้ว่า มีคนชอบใช้งานหน้าเว็บแบบ B มากกว่า คุณก็ลุยต่อได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
สตาร์ทอัพควรนำการทดสอบนี้ไปใช้ก่อนการปรับเปลี่ยนทุกครั้ง เช่น ถ้าอยากรู้ว่า ปุ่มสั่งซื้อสีแดง ช่วยดึงดูดให้ลูกค้าซื้อมากกว่าหรือไม่ คุณก็ลองสร้างหน้าเว็บออกมา 2 แบบ แล้วดูอัตราการคลิกในช่วง 2-3 สัปดาห์
ถ้าไม่มีวิธีอื่น ผมแนะนำให้นำวิธีการทดสอบแบบคู่ขนานนี่ไปใช้เลยครับ รู้ผลชัวร์
คุณต้องกล้าเปลี่ยนทิศทางของบริษัทเพื่อหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม
คุณคงเคยได้ยินตำนานนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่หลายท่านที่มักบอกว่า กุญแจสำคัญในการก่อตั้งบริษัทให้ประสบความสำเร็จคือ ความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่ย่อท้อ
นักธุรกิจที่เป็นไอดอลของคุณล้วนมีไอเดียอันยอดเยี่ยม ผ่านการต่อสู้กับอุปสรรคมานับไม่ถ้วน จนกลายเป็นที่ยอมรับ

เรื่องราวเหล่านี้ชวนให้คิดว่า เราต้องยึดมั่นไอเดียของตัวเอง ดันทุรังให้ถึงที่สุดจนกว่าสายตาของคนทั้งโลกจะจับจ้องมาที่คุณ แต่วิธีคิดแบบนี้ฉุดเจ้าของธุรกิจเข้าสู่ดินแดนแห่งความตายมาหลายรายแล้ว เหมือนพวกซอมบี้ไร้วิญญาณที่เมินเฉยต่อความคิดเห็นของลูกค้า และพยายามอย่างหนักเพื่อขายสินค้าที่ตลาดไม่ต้องการ
อารมณ์นี้เกิดขึ้นกับทุกคนแต่สามารถแก้ได้ด้วยการถามตัวเองบ่อยๆ ว่า เราต้องปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างไรเพื่อให้เป็นที่ต้องการของตลาด และถามตัวเองเป็นระยะๆ ว่า เราควรจะเปลี่ยนทิศทางของบริษัทหรือไม่
การเปลี่ยนทิศทางของบริษัทมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น กำหนดปัญหาของลูกค้าใหม่แล้วปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม เลือกกลุ่มลูกค้าใหม่ เปลี่ยนช่องทางการขายหลัก เป็นต้น
(อ่านเพิ่มเติม: 10 วิธีเปลี่ยนทิศทางของบริษัท)
การตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนทิศทางของบริษัทเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้ เหล่าสตาร์ทอัพจึงหลีกเลี่ยงและผัดผ่อนการตัดสินใจนี้ออกไป ทางที่ดีผู้ก่อตั้งควรจัดประชุมเกี่ยวกับทิศทางบริษัทเดือนละครั้ง โดยนำข้อมูลจากลูกค้ามาวิเคราะห์ว่า คุณควรจะดันทุรังต่อไปหรือจะเปลี่ยนทิศทางบริษัทดี อย่าลืมสำรวจตัวเองด้วยนะครับว่า คุณกำลังจะกลายเป็นซอมบี้หรือเปล่า!?
อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงเพราะ สตาร์ทอัพหลายเจ้าเปลี่ยนทิศทาง 2-3 ครั้ง ก่อนจะเจอโมเดลธุรกิจที่ใช่และประสบความสำเร็จในภายหลัง
ลองดู Starbuck ร้านกาแฟที่เราเห็นทุกหัวมุมถนนเป็นตัวอย่าง ในปี 1971 ผู้ก่อตั้ง Howard Schultz ไม่ได้เริ่มทำร้านกาแฟแบบที่เห็นอยู่ตอนนี้หรอกนะครับ เขาเริ่มจากขายเม็ดกาแฟและเครื่องทำเอกเปรสโซก่อน จนกระทั่งปี 1983 เขาค่อยเปลี่ยนมาทำร้านกาแฟสไตล์ยุโรปจนโด่งดังทั่วโลกถึงทุกวันนี้

ทุกสตาร์ทอัพควรมุ่งเน้นไปที่กลไกการเติบโตเพียงแบบเดียว
พื้นฐานของโมเดลธุรกิจคือ กลไกการเติบโต (Engine of Growth) ที่ช่วยให้บริษัทไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
กลไกการเติบโตมี 3 ประเภท ได้แก่
- กลไกการเติบโตแบบเหนียวแน่น (Sticky Engine of Growth): กลไกนี้ออกแบบมาเพื่อดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้ในระยะยาว ซึ่งจะสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง กลไกนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การหาลูกค้าหน้าใหม่โดยอาศัยการลงทุนด้านการตลาด แต่มุ่งเน้นให้ลูกค้าปัจจุบันใช้ผลิตภัณฑ์บ่อยขึ้นโดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือบริการที่ยอดเยี่ยม
- กลไกการเติบโตแบบไวรัส (Viral Engine of Growth): กลไกนี้ทำงานโดยการทำให้ลูกค้าที่มีอยู่ดูแลการตลาดของบริษัทให้ การรับรู้ผลิตภัณฑ์จะแพร่กระจายในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจากปากต่อปาก (เหมือนไวรัส) คุณจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้เยอะมากทีเดียวครับ ตัวอย่างของกลไกการเติบโตแบบนี้ ก็คือ Hotmail ในปี 1996 Hotmail ได้เปิดบริการอีเมลผ่านหน้าเว็บไซต์โดยให้บริการแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ในช่วงแรกการเติบโตเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกสิ่งเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาตัดสินใจเพิ่มข้อความแนบท้ายอีเมลทุกฉบับว่า “ป.ล. ลงทะเบียนใช้อีเมลฟรีได้ที่ Hotmail” พร้อมแนบลิงก์ที่พาไปสู่หน้าลงทะเบียน ภายใน 6 เดือนมีลูกค้าใหม่ลงทะเบียน Hotmail มากกว่า 1 ล้านคน

- กลไกการเติบโตแบบใช้เงิน (Paid Engine of Growth): กลไกนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา บริษัทให้งบฝ่ายการตลาดไปใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น โฆษณาออนไลน์ Facebook Youtube Tiktok แน่นอนว่าสิ่งนี้จะยั่งยืนก็ต่อเมื่อลูกค้าจ่ายเงินให้เรามากกว่าค่างบโฆษณาที่เราเสียไปเพื่อดึงดูดลูกค้าคนนั้น พูดเป็นภาษาธุรกิจก็คือ ต้นทุนในการหาลูกค้า (Cost Per Acquisition: CPA) ต้องต่ำกว่ามูลค่าที่ลูกค้ามอบให้บริษัทตลอดทั้งชีวิต (Customer Lifetime Value: LTV)
โดยทั่วไปคุณสามารถใส่กลไกการเติบโตทั้ง 3 ตัวในธุรกิจได้ในเวลาเดียวกัน แต่บ่อยครั้งการมุ่งเน้นแค่กลไกเดียวเพื่อให้บริษัทโตเร็วที่สุดในตอนเริ่มต้นก็เป็นวิธีที่ไม่เลว เพราะการมุ่งเน้นไปที่กลไกแบบเดียวทำให้เราประเมินความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ
ตัวชี้วัดที่ฉาบฉวยมักทำให้เข้าใจผิด และไม่ช่วยให้คุณเจอโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน
หากคุณต้องเดินทางไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย มือจับพวงมาลัยขับรถตลอดเวลา มารู้ตัวอีกทีคงได้หลงทางแน่ๆ เลยครับ คุณต้องหยุดดูเส้นทาง เปิดเช็คกับ Google Map หรือถามทางจากคนในพื้นที่เป็นระยะๆ เช่นเดียวกับการทำสตาร์ทอัพ
ไม่มีสตาร์ทอัพไหนที่หาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนได้โดยการเดินหน้าลูกเดียว สตาร์ทอัพต้องหมั่นทบทวนและวัดผลการทำงานของตัวเองเป็นระยะๆ ด้วยการตั้งตัวชี้วัดที่เหมาะสม ตัวชี้วัดที่ดีสามารถบอกความคืบหน้าสู่เป้าหมายระยะยาวที่กำหนดไว้หรือเปล่า คุณต้องจับตามองข้อมูลที่คุณรวบรวมไว้ตลอดทางเพื่อประเมินว่าตัวเองวิ่งมาถูกทางหรือเปล่า
แต่น่าเสียดายที่สตาร์ทอัพหลายเจ้าหลงดีใจจากตัวชี้วัดที่ฉาบฉวย ตัวชี้วัดบางตัวก็เป็นเหมือนเหมือนยาพิษเคลือบน้ำตาล สร้างความประทับใจแต่ไร้ประโยชน์หรืออาจจะสร้างความอันตรายด้วย เพราะตัวเลขเหล่านี้หลอกเราว่าบริษัทกำลังไปได้ดี แต่จริงๆ แล้วยังห่างไกลเป้าหมายอีกหลายขุม
สตาร์ทอัพที่กำหนดตัวชี้วัดผิดจะมองไม่เห็นปัญหาและแก้ไขปัญหาล่าช้า
ตัวอย่างตัวชี้วัดที่ไม่ดี เช่น ตัวเลขความนิยมบนโซเชียลมีเดีย คุณอาจได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากมายและมีคนติดตามในเฟซบุ๊กถล่มทลาย เลยนึกเอาเองว่าสิ่งเหล่านี้คือความสำเร็จ
คนที่กด Like เพจไม่ได้หมายความว่าเขาจ่ายเงินให้คุณ คุณไม่ควรเสียแรงไปกับการปั้นตัวเลขยอด Like/Comment ในเฟซบุ๊กเพราะมันไม่ได้สร้างยอดขายจริงๆ ให้กับบริษัท
ตัวชี้วัดแบบฉาบฉวยอื่น ๆ เช่น จำนวนชั่วโมงที่คุณทำงานเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ หรือจำนวนงานที่คุณทำเสร็จในแต่ละวัน ตัวเลขเหล่านี้อาจจะมีผลต่อความสำเร็จของสตาร์ทอัพ แต่มันไม่จำเป็นเสมอไป ดังนั้นเป้าหมายของคุณไม่ควรจะเป็นการเพิ่มตัวเลขเหล่านี้ แม้ว่าคุณทำงานสัปดาห์ละ 100 ชั่วโมง ก็อาจเป็นไปได้ว่า คุณใช้เวลาดังกล่าวไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อความสำเร็จระยะยาว
คุณต้องหาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนให้เจอ และสร้างฐานลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณจริงๆ เพื่อให้สตาร์ทอัพของคุณอยู่รอดได้
ทุกสตาร์ทอัพต้องกำหนดตัวชี้วัดหลักให้ถูกต้องและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีเหตุมีผล
การกำหนดตัวชี้วัดที่เหมาะสมเพื่อติดตามและประเมินงานอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกสตาร์ทอัพ แค่มองตัวเลขของตัวชี้วัดที่เหมาะสม คุณจะรู้เลยว่าตัวเองอยู่บนเส้นทางที่กำลังมุ่งไปสู่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนอยู่หรือเปล่า
ตัวชี้วัดที่ถูกต้องของแต่ละสตาร์ทอัพจะแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็วนๆ อยู่ไม่กี่ตัวหรอกครับ เช่น จำนวนลูกค้าที่จ่ายเงิน ระยะเวลาเฉลี่ยที่ลูกค้าอยู่ในเว็บไซต์ และจำนวนคำแนะนำที่ได้รับต่อลูกค้า 1,000 ราย เป็นต้น สตาร์ทอัพจะต้องหาตัวชี้วัดที่เหมาะสมให้เจอ จะได้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและเห็นภาพความคืบหน้าที่แท้จริง
ผมแนะนำวิธีวิเคราะห์แบบนึงที่สตาร์ทอัพควรนำไปใช้เรียกว่า Cohort Analysis คอนเซปท์คือ แทนที่จะมองแค่การเติบโตของรายได้หรือจำนวนผู้ใช้ ก็ให้วิเคราะห์ให้ลึกถึงพฤติกรรมของลูกค้าด้วยการเปรียบเทียบ
ขอยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆ นะครับ สมมติว่า ผมสร้างแอพพลิเคชั่นหาคู่ขึ้นมาตัวนึงชื่อ Tindee แล้วผมทำการวัดผลการใช้งานแอพของผู้ใช้ดังตารางข้างล่างนี้

ในตาราง คอลัมน์แนวตั้งลำดับที่ 2 จากซ้ายแสดงจำนวนผู้ดาวน์โหลดแอพในแต่ละวัน (Users) ส่วนแถวแนวนอน หมายถึงกลุ่มผู้ใช้หรือ Cohort ของผู้ใช้
Cohortที่1 (Jan 25) คือ กลุ่มผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดแอพเมื่อวันที่ 25 มกราคม
Cohortที่2 (Jan 26) คือ กลุ่มผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดแอพเมื่อวันที่ 26 มกราคม
Cohortที่3 (Jan 27) คือ กลุ่มผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดแอพเมื่อวันที่ 27 มกราคม
.
.
.
Cohortที่10 (Feb 03) คือ กลุ่มผู้ที่ดาวน์โหลดแอพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์
จากข้อมูลในตารางพบว่า วันที่ 26 มกราคม มีคนดาวน์โหลดแอพ Tindee ใช้งานทั้งหมด 1,358 คน มีประมาณ 31% ที่เล่น Tindee ในวันถัดไป หลังผ่านไป 7 วันคนกลุ่มนี้ (ที่ดาวน์โหลดแอพเมื่อวันที่ 26 มกราคม) ยังคงเล่น Tindee อยู่ประมาณ 13%
แถวสุดท้ายแสดงพฤติกรรมของผู้ที่ดาวน์โหลดแอพระหว่างวันที่ 25 มกราคมถึง 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งเฉลี่ยแล้วมีแค่ 27% เท่านั้นที่ใช้ยังคงใช้แอพ Tindee ต่อหลังจากดาวน์โหลดไป 1 วัน (แปลว่า ลูกค้าหายไปมากกว่า 70% หลังจากดาวน์โหลดแอพไปใช้) แสดงว่า แอพ Tindee ของผมมีปัญหาเรื่องการสร้างประสบการณ์เริ่มต้นที่ดีให้กับผู้ใช้ ผมอาจจะลองปรับสี หรือเปลี่ยนตำแหน่งปุ่มให้ใช้งานง่ายขึ้น แล้ววัดผลอีกครั้ง
การเปรียบเทียบ Cohort แต่ละกลุ่มช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้มากกว่าแค่ดูยอดดาวน์โหลดในแต่ละวัน
จงหมั่นวัดผล วิเคราะห์ และปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ มิฉะนั้นสตาร์ทอัพของคุณจะกลายเป็นแค่ระเบิดเวลาเท่านั้นเองครับ
สรุปส่งท้ายก่อนวางหนังสือ The Lean Startup
ข้อความสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ:
บริษัทตั้งใหม่ควรใฃ้วิธีสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนบนสมมติฐานที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว พวกเขาควรจะพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็วและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยรวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าและดำเนินการผ่านวงจรสร้าง-วัดผล-เรียนรู้
คำถามที่หนังสือเล่มนี้ตอบ
เป้าหมายหลักที่สตาร์ทอัพควรไล่ตามคืออะไรและอย่างไร?
- สตาร์ทอัพต้องมีแนวคิดและได้รับการจัดการที่แตกต่างจากบริษัททั่วไป
- เป้าหมายหลักของสตาร์ทอัพ คือการหาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน
- ค้นหาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนผ่านการเรียนรู้เชิงวิทยาศาสตร์
สตาร์ทอัพสามารถหาผลิตภัณฑ์และโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมได้โดยการ…
- พิสูจน์สมมติฐานทั้งด้านคุณค่าและด้านการเติบโต
- รีบสร้างผลิตภัณฑ์ที่พอใช้การได้เพื่อทดสอบไอเดียของคุณกับตลาดจริงๆ
- สร้าง-วัดผล-เรียนรู้ ให้เร็วและบ่อยที่สุด
- กล้าเปลี่ยนทิศทางของบริษัทเพื่อหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม
สตาร์ทอัพจะหากลไกการเติบโตได้อย่างไรและวิเคราะห์ตัวชี้วัดที่ถูกต้องได้อย่างไร?
- สตาร์ทอัพควรมุ่งเน้นไปที่กลไกการเติบโตเพียงแบบเดียวจะดีกว่า
- ตัวชี้วัดที่ฉาบฉวยมักทำให้เข้าใจผิด และไม่ช่วยให้คุณเจอโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน
- ทุกสตาร์ทอัพต้องกำหนดตัวชี้วัดหลักให้ถูกต้องและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีเหตุมีผล
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล: Slideshare, Clevertap

โปรดเยียวยาฉัน ด้วยหนังสือเล่มนั้น
8 กฎทองของคนอยากเข้าใจรัก [ปกแข็ง Pre-Order]
เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
ถ้าสอนงานแบบนี้ ฉันก็เก่งไปนานแล้ว
AI SUPERPOWERS ปกอ่อน
อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน
ชีวิตเหนือกว่า แค่รู้จักหาคู่หู และรู้วิธีปราบคู่แข่ง
คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
Blitzscaling รุกเร็ว โตไว ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจสายฟ้าแลบ
AI2041 ปกอ่อน
คู่มือทำธุรกิจ สไตล์คนคิดสร้างสรรค์
ความเจริญไม่เคยเกิดขึ้นเอง Power and Progress
แค่มองให้เป็น ก็ได้คนที่ใช่มาทำงานกับเรา
รวยอย่างริช
ความลับเรื่องเงิน ที่แม่อยากบอกลูกก่อนตาย
เรียนอะไรก็รู้เรื่อง แค่สรุปได้ใน 20 คำ
คนชนะทำแล้วแก้ คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ
รู้ทันอนาคตที่(อาจจะ)ไม่มีคุณ
AI2041 ปกแข็ง
ชีวิตดีขึ้นทุกด้าน ด้วยการช่างแม่ง
สำเร็จทุกเป้าหมาย ด้วยการจัดระเบียบชีวิตดิจิทัล
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ
คิดอย่างไร ไม่ให้คิดไปเอง
Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
ชีวิตดี เมื่อมีของน้อย
ถกเถียงอย่างไร ให้เราเข้าใจกันมากกว่าเดิม
เธอหรือฉัน ใครกันที่ Toxic
เพราะฉันแตกต่าง จึงบริหารเวลาแบบนี้
คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย 
Pingback: สรุปหนังสือ The Lean Startup ตอนที่ 1 - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ All In Startup อยากทำสตาร์ทอัพ ต้องรู้ว่าตอนไหนควรทุ่มหมดหน้าตัก
Pingback: สรุปหนังสือ The Lean Startup ตอนที่ 1 - สำนักพิมพ์บิงโก